รีวิวหนัง Overlord (2018) : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
รีวิวหนัง Overlord (2018) : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด เป็นภาพยนตร์แนวแอ็กชัน-สยองขวัญที่มีฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง ผลิตโดย J.J. Abrams ผ่านบริษัท Bad Robot และกำกับโดย Julius Avery ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการผสมผสานที่ไม่ธรรมดาระหว่างภาพยนตร์สงครามและหนังซอมบี้ไซไฟ โดยเปิดตัวด้วยกลิ่นอายของ “Saving Private Ryan” ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนแนวเข้าสู่โลกของการทดลองลับอันสยองขวัญของนาซี แม้จะมีฉากสงครามเป็นพื้นหลัง แต่ Overlord กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายหนัง B-movie ที่ได้รับการขัดเกลาด้วยโปรดักชันระดับสูงและเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความมันส์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้พยายามเล่าเรื่องสงครามในแบบที่เคร่งขรึม แต่นำเสนอความบันเทิงแบบดิบเถื่อน ลุ้นระทึก และแหวะในระดับที่พอดี มันเป็นหนังที่เล่นกับไอเดีย “ทหาร vs ซอมบี้นาซี” ได้อย่างชาญฉลาด โดยยังสามารถรักษาความเข้มข้นทางอารมณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครเอาไว้ได้ดี Overlord จึงกลายเป็นหนังที่ทั้งสนุก โหด และมีจังหวะหลอนแบบไม่คาดคิด >> ดูหนังล่าสุด
เนื้อเรื่องย่อ
Overlord (2018) : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงก่อนวันดีเดย์ (D-Day) เมื่อหน่วยพลร่มของสหรัฐฯ ได้รับภารกิจสำคัญในการทำลายหอวิทยุของนาซีในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส เพื่อเปิดทางให้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรบุกขึ้นฝั่งได้โดยไม่มีการสื่อสารเตือนล่วงหน้า แต่ทันทีที่เครื่องบินขนส่งทหารถูกยิงตกกลางอากาศ เหล่าทหารอเมริกันจึงต้องร่อนลงกระจายตัวกลางป่าในดินแดนของศัตรู ภารกิจที่เคยวางแผนไว้จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดตั้งแต่ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสดิน
พลทหารบอยซ์ (Boyce) หนึ่งในตัวละครหลัก รอดชีวิตมาได้และร่วมมือกับฟอร์ด (Ford) หัวหน้าทีมภาคสนามผู้เย็นชากับสมาชิกคนอื่นที่รอดมาเพื่อไปทำภารกิจต่อ แต่ในขณะที่พวกเขาค้นหาเป้าหมาย ก็ได้พบกับชาวบ้านชื่อโคลอี้ (Chloe) ผู้ซึ่งให้ที่พักพิงและเปิดเผยว่าในหมู่บ้านมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อบอยซ์แอบเข้าไปยังฐานทัพนาซี เขากลับพบว่าหอวิทยุที่พวกเขาต้องทำลายนั้นตั้งอยู่เหนือห้องทดลองลับของพวกนาซี ซึ่งกำลังทดลองสร้าง “ซอมบี้ทหารอมตะ” >> ดูหนังไม่มีโฆษณา
จากนั้นเรื่องราวดำเนินเข้าสู่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มทหารอเมริกันที่มีทรัพยากรจำกัด กับศัตรูที่ไม่เพียงมีอาวุธครบมือ แต่ยังมีซากศพเดินได้ที่แข็งแรง ดุร้าย และไร้ความรู้สึก บอยซ์ต้องตัดสินใจว่าจะทำลายหอวิทยุเพียงอย่างเดียว หรือจะยับยั้งความชั่วร้ายที่อาจเปลี่ยนโลกทั้งใบ เขาและฟอร์ดนำทีมเข้าสู้ศัตรูในฐานลับใต้ดิน ซึ่งจบลงด้วยฉากการระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำลายทั้งหอวิทยุและโครงการทดลองของพวกนาซีได้สำเร็จ ก่อนที่พันธมิตรจะบุกขึ้นฝั่ง
ดูหนัง Overlord (2018) : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
ตัวละคร
- Boyce (Jovan Adepo): ทหารผิวสีผู้มีหัวใจอ่อนโยน เขาเป็นตัวแทนของความเมตตาและศีลธรรมในสถานการณ์ที่โหดร้าย ตัวละครของเขาเติบโตจากความกลัวมาเป็นผู้นำที่กล้าหาญในช่วงท้ายเรื่อง
- Ford (Wyatt Russell): หัวหน้าทีมผู้มีความเป็นผู้นำสูง และมักตัดสินใจโดยยึดเป้าหมายเป็นหลัก แม้ต้องแลกด้วยชีวิตคนอื่น แต่เขาก็มีพัฒนาการในแง่ของการยอมรับความเสียสละ
- Chloe (Mathilde Ollivier): หญิงสาวชาวฝรั่งเศสผู้กล้าหาญ เป็นทั้งผู้รอดชีวิตและนักสู้ที่พร้อมจะช่วยเหลือ แม้จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อตัวเองและครอบครัว
- Wafner (Pilou Asbæk): นายแพทย์นาซีผู้ดูแลห้องทดลอง เป็นตัวร้ายหลักของเรื่องที่ไร้ความเมตตาและมีความคลั่งในวิทยาศาสตร์แบบไร้มนุษยธรรม
ฉากแอ็กชันและการกำกับ
Julius Avery สร้างภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวตั้งแต่ฉากแรก จังหวะของหนังนั้นฉับไว แต่ไม่รีบเร่งจนเกินไป ฉากการต่อสู้ในหมู่บ้านฝรั่งเศสถูกถ่ายทอดอย่างสมจริง ปะทะกับฉากในห้องทดลองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหลอนและแหวะอย่างจงใจ ความผสมผสานระหว่างแนวสงครามกับแนวสยองขวัญจึงออกมาอย่างมีสไตล์ ไม่ดูฝืนหรือขาดสมดุล
การใช้เอฟเฟกต์ practical เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของหนัง ซากศพเดินได้ ร่างทดลองของนาซี และฉากแปลงร่างล้วนดูน่าเชื่อถือและน่ากลัวในแบบที่สะใจแฟนหนังโหด ส่วนการถ่ายภาพในฉากมืดหรือในอาคารที่แคบก็ช่วยสร้างบรรยากาศของความตึงเครียดได้ดี ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้โทนภาพที่หม่นแต่มีสีสันของความโกลาหลทางอารมณ์ >> เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี
จุดเด่นของภาพยนตร์
- การผสมผสานแนวสงครามกับสยองขวัญได้อย่างกลมกลืน
- ตัวละครที่มีมิติ และพัฒนาไปตามสถานการณ์อย่างน่าติดตาม
- การใช้เอฟเฟกต์ practical ที่น่าประทับใจและสมจริง
- บรรยากาศที่ตึงเครียดและการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว
จุดที่อาจมีข้อสังเกต
- บางตัวละครรองยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
- โครงเรื่องแม้จะสนุกแต่ยังเดินตามสูตรของหนังสงคราม-สยองขวัญทั่วไป
- ความลึกทางประวัติศาสตร์หรือประเด็นการเมืองแทบไม่มี เน้นความบันเทิงเป็นหลัก
สรุป
“Overlord (2018)” คือหนังที่ตอบโจทย์คอหนังแอ็กชันสายโหดและแฟนหนังแนวซอมบี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยการผสมแนวสยองขวัญเข้ากับฉากสงครามแบบมันส์สะใจ โดยไม่ละเลยการสร้างตัวละครที่น่าสนใจและการกำกับที่มีจังหวะจะโคน หนังเรื่องนี้อาจไม่ลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์ แต่ก็เต็มไปด้วยความบันเทิงในระดับที่น่าพอใจ ใครที่ชอบหนังที่มีทั้งกระสุน เลือด และความลึกลับจากการทดลองนรกของนาซี Overlord คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด
ดูหนังใหม่ล่าสุด | ดูหนังฟรีไม่มีโฆษณา | เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี | ดูหนังไทย | ดูหนังฝรั่ง | ดูซีรี่ย์ | ดูหนังพากย์ไทย |